ผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร
สภาพปัญหาของการพัฒนาหลักสูตรและการใช้หลักสูตรสถานศึกษา
ผู้มีส่วนร่วมในสถานศึกษา
ผู้ที่มีส่วนร่วมกับการพัฒนาหลักสูตร คือ นักพัฒนาหลักสูตร
ซึ่งเป็นคำทั่วไปหมายถึงนักการศึกษาต่างๆ
ตั้งแต่ครูไปจนถึงผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา
โดยเป็นใครก็ได้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งกับการพัฒนาหลักสูตร
การนำหลักสูตรไปใช้ หรือการประเมินผลหลักสูตร
นักพัฒนาหลักสูตรมีตำแหน่งต่างๆ กัน
อย่างไรก็ตามครูเป็นสมาชิกคนหนึ่งในการทำหลักสูตรและทำงานกับศึกษานิเทศก์และผู้บริหาร
ซึ่งมีส่วนอยู่กับคณะทำงานหลักสูตรเหมือนกัน
การให้ครูมาทำหน้าที่เป็นนักพัฒนาหลักสูตรแต่เนิ่นๆ
มีความจำเป็นต่อความก้าวหน้าของครูและความสำคัญแต่สถานศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษา
ในที่ซึ่งจำเป็นต้องมีการให้ความกระจ่างเกี่ยวกับความรับผิดชอบของนักพัฒนาหลักสูตร
ควรพิจารณาต่อไปนี้
- พัฒนาวิธีการและเครื่องมือทางวิชาการเพื่อดำเนินการวางแผนหลักสูตรสถานศึกษา
- ผสมผสานการสร้างทฤษฎีให้เข้ากับการปฏิบัติ หาความรู้เกี่ยวกับหลักสูตรและใช้ความรู้นี้กับโลกที่เป็นจริงของชั้นเรียนและสถานศึกษา
- ทำความตกลงเกี่ยวกับสิ่งที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาและการสร้างหลักสูตร รวมทั้งความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับองค์ประกอบของหลักสูตร
- ทำความตกลงในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหลักสูตร การสอน และการนิเทศ รวมทั้งภาษาเฉพาะของแต่ละสาขาวิชา
- ทำหน้าที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ซึ่งพิจารณาว่าสถานศึกษาในบริบทกับสังคมทำความสมดุลระหว่างความต้องการและทัศนะของชุมชนท้องถิ่นกับความสนใจและเป้าหมายของประเทศ
- สร้างพันธกิจหรือเป้าหมายเพื่อให้ทิศทางและเน้นพฤติกรรมภายในองค์กร
- หารือกับกลุ่มผู้ปกครอง ชุมชน และนักวิชาการ มีทักษะในด้านมนุษย์สัมพันธ์และในการทำงานกับกลุ่มและแต่ละบุคคล
- พัฒนาโครงการในการพัฒนา การนำไปใช้ และการประเมินหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง
สภาพปัญหาของการพัฒนาหลักสูตร
ปัญหาด้านภาวะผู้นำในการพัฒนาหลักสูตร
ไม่ว่าจะพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหา
ประสบการณ์และสภาพแวดล้อมกันอย่างไร
ศูนย์กลางในการพัฒนาหลักสูตรยังคงเป็นหน้าที่ของสถานศึกษาในท้องถิ่นต่อไปอีก
ซึ่งสถานศึกษาทำได้มากน้อยเพียงใด
ขึ้นอยู่กับความสามารถและการปฏิบัติงานของผู้บริหารสถานศึกษา
ปัญหาประการหนึ่งคือ
ความขัดแย้งระหว่างบุคลากรสถานศึกษา
(ครูและผู้อำนวยการ)กับศึกษานิเทศก์จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ด้วยเหตุนี้บางครั้งศึกษานิเทศก์จึงส่งผ่านหรือละเลยหน้าที่ความเป็นผู้นำหลักสูตรในสถานศึกษาที่ตนรับผิดชอบ
ในขณะเดียวกันผู้อำนวยการมักไม่รับฟังคำแนะนำและความช่วยเหลือจากศึกษานิเทศก์
นอกจากนี้มีข้อแตกต่างเกิดขึ้นระหว่างผู้บริหารสถานศึกษาระดับประถมและมัธยม
ผู้บริหารระดับประถมส่วนใหญ่อุทิศเวลาให้กับเรื่องหลักสูตรและการสอนมากกว่าผู้บริหารระดับมัธยม
และมองตัวเองว่าเป็นผู้นำหลักสูตรหรือ การสอนมากกว่าเป็นผู้บริหาร
ส่วนผู้บริหารสถานศึกษาระดับมัธยมมักบ่นว่ามีเวลาให้กับหลักสูตรและการสอนน้อย
และถือว่าตนเองเป็นผู้บริหาร (Brubaker and Simon. 1987: 72 – 78;
English. 1995: 18 – 25)
ข้อแตกต่างส่วนหนึ่งคือ ขนาดสถานศึกษาภายในเขตพื้นที่การศึกษาเดียวกัน
ตามปกติสถานศึกษาระดับมัธยมมีขนาดเป็น 2 – 4 เท่าของสถานศึกษาระดับประถม
ในสถานศึกษาระดับมัธยมที่มีนักเรียนมากกว่า 1,000 คน
ผู้อำนวยการมีความสนใจปัญหาการบริหารในรายละเอียด และโครงสร้างรูปนัยมากกว่าบุคคล
(Ornstein. 1990: 34 – 45) อีกเหตุผลคือ
สถานศึกษามัธยมขนาดกลางและขนาดใหญ่ ตามปกติจะมีครูหัวหน้าสายวิชาซึ่งวางแผนกับครูและนิเทศหลักสูตรและการเรียนการสอน
ส่วนระดับประถมศึกษาไม่มีครูหัวหน้าสายและเน้นการเรียนการสอนระดับไตรภาค คือ
การอ่านออก เขียนได้ และคิดเลขเป็น
ซึ่งผู้อำนวยการสถานศึกษาต้องใช้ภาวะผู้นำในด้านหลักสูตรและการสอนในด้านหลักสูตรและการเรียนการสอนในการศึกษาระดับพื้นฐาน
ดังนั้นจึงต้องมีความสมดุลในเขตพื้นที่การศึกษาขนาดใหญ่
ผู้นำหลักสูตรในสำนักงานกลางควรให้โอกาสบุคลากรในโรงเรียนมามีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักสูตร
ในเขตพื้นที่ขนาดเล็ก
ครูที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรควรได้เบี้ยเลี้ยงหรือยกเว้นไม่ทำงานอื่นเพื่อให้มีเวลาอุทิศให้กับการทำงานหลักสูตร
ผู้บริหารโรงเรียนควรคิดเสมอว่าครูปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบสำคัญอยู่แล้ว คือ
การสอน ไม่ใช่งานพัฒนาหลักสูตร ดังนั้นครูจึงมีทางเลือกในการปฏิเสธความรับผิดชอบนี้ได้
รศ. ดร.สุนทร โคตรบรรเทา. (2553). การพัฒนาหลักสูตรและการนำไปใช้
(Curriculum Development and
Implementation). กรุงเทพฯ:
สำนักพิมพ์ปัญญาชน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น